ข้อควรรู้ เกี่ยวกับสารเคมีที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน

โซเดียมลอริลซัลเฟต (SLS)  

เป็นสารที่มีคุณสมบัติลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้เกิดฟอง ช่วยให้สิ่งสกปรกและคราบไขมันหลุดออกได้ง่าย ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด เช่น สบู่ แชมพู ครีมล้างหน้า และยาสีฟัน

จากการวิจัยพบว่า หากความเข้มข้นของสารที่ใส่ในผลิตภัณฑ์มีปริมาณมากเกินไป อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนังบริเวณที่สัมผัส โดยการระคายเคืองจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นของสารที่เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ยังมีรายงานในสัตว์ทดลอง พบว่า ความเข้มข้นของสาร SLS ในปริมาณที่สูงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดสิว และถ้าล้างผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร SLS ออกช้าหรือไม่ล้างออก อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา

จากที่มีการแชร์ข่าวทางโซเชียลมีเดียและอีเมลลูกโซ่ถึงภัยจากสาร SLS ว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดๆ สรุปชัดเจนเรื่องสาร SLS และความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง คนในประเทศไทยยังคงให้ใช้สาร SLS ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ โดยต้องมีความเข้มข้นที่ใช้ได้ปลอดภัยในปริมาณที่กำหนด

ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร SLS ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารนี้ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุไว้ว่า SLS-Free หรืออาจเลือกใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเป็น Sodium Laureth Sulfate หรือ SLES ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่า SLS และยังไม่มีข้อมูลความเสี่ยงเกี่ยวกับการเป็นสารก่อมะเร็ง

 

สารกลุ่มพาราเบน (Paraben)  

มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ยีสต์ และแบคทีเรีย ป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางเสียง่าย นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แชมพู ครีมนวดผม ครีมบำรุงผิวหน้า ครีมโกนหนวด น้ำยาดัดผมถาวร ยาสีฟัน และยาระงับกลิ่น

เนื่องจากเคยมีรายงานผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมและตรวจพบพาราเบนในเซลล์มะเร็ง ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพาราเบน ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของพาราเบนจะก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือไม่ ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขยังรับรองให้ใช้สารในกลุ่มพาราเบนได้ 4 ชนิดในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากมีข้อถกเถียงกันถึงความปลอดภัยของพาราเบนปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารชนิดอื่นซึ่งผลิตจากธรรมชาติเป็นสารกันเสียแทน โดยไม่มีส่วนผสมของพาราเบน หรือ Paraben-Free

 

ORGANIC OLIVE OIL ที่นำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ NATURALITE ORGANIC BEAUTY ได้รับการรับรองมาตรฐาน ECOCERT วางใจได้ค่ะ

ECOCERT เป็นเครื่องหมายรับรอง “มาตรฐานการควบคุมกำกับกระบวนการแบบอินทรีย์” ก่อตั้งในประเทศฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในผู้นำของตรารับรองมาตรฐานการใส่ใจธรรมชาติที่มีชื่อเสียงในระดับสากล อันมีมาตรฐานที่เข้มงวด การคัดสรรและการมอบตรานี้ให้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับสูงเท่านั้น

ECOCERT รับรองมาตรฐานทั้งอาหาร เครื่องสำอางค์ น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ผ้า บริษัทนี้ตรวจสอบขบวนการผลิตอาหารแบบออร์แกนิคประมาณ 70% ในฝรั่งเศส และ 30% ทั่วโลก ทุกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจสอบต้องไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี และสารพิษทุกชนิดอย่างเด็ดขาด รวมทั้งสถานที่สำหรับการผลิตและการแปรรูป ต้องได้รับการควบคุมโดย ecocert เช่นกัน

ECOCERT is an organic certification organization, founded in France in 1991. It is based in Europe but conducts inspections in over 80 countries, making it one of the largest organic certification organizations in the world.

ECOCERT’s co-founder and CEO is William Vidal.[1] It began as a partnership between European nations, but has gradually expanded to many other nations around the world. The company’s French headquarters are located in L’Isle-Jourdain, Gers, France,[2] and its ECOCERT INTERNATIONAL division which was previously based in Northeim, Germany, is shifted now to L’Isle-Jourdain.

ECOCERT primarily certifies food and food products, but also certifies cosmetics, detergents, perfumes, and textiles. The company inspects about 70% of the organic food industry in France and about 30% worldwide. ECOCERT is also a leading certifier of fair trade food, cosmetics and textiles as per ECOCERT Fair Trade standards.

Share your thoughts